.ในอินเดียสมัยโบราณ พระพรหมเป็นเทพผู้สร้างโลก ได้รับการยกย่องโดยพวกพราหมณ์ ให้มีฐานะเท่าเทียมกับพระวิษณุ (ผู้คุ้มครองโลก) และพระศิวะ (ผู้ทำลายโลก) วิวัฒนาการทางความเชื่อทางศาสนา และศิลปกรรมของอินเดียมีการ เปลี่ยนแปลง ตามแคว้นต่าง ๆ เสมอรวมถึงการเปลี่ยนแปลงตามประเพณีความเชื่อในช่วงสมัยนั้น ๆ โดยมีการนับถือตามนิกายต่าง ๆ ของความ เชื่อที่มีอยู่นั้น เช่น นิกายไศวะ หรือไศวะนิกาย และไวษณพนิกาย หรือไวษณวนิกาย ทั้ง ๒ นิกายให้ความเคารพนับถือเทพ คือพระศิวะ และ พระวิษณุเป็นพิเศษ จึงลดความศรัทธาความเชื่อถือพระพรหมลง และเมื่อเวลาผ่านถึง ค.ศ. ที่ ๑๐ ชาวฮินดูจึงหันมาให้ความเคารพ นับถือพระพรหมจากที่นิกายไศวะ และไวษณพนิกาย ซึ่งมีการแข่งขันกันทางด้านความเชื่ออยู่ พระพรหมจึงกลายเป็นเทพองค์สำคัญขึ้นมาใหม่ โดยมีการสร้างเทวาลัย และรูปปั้นไว้เป็นจำนวนมาก พระพรหมได้รับการนับถือบูชาในฐานะที่พระองค์เป็นผู้สร้างของทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นบนโลก พระองค์ทรงเป็นผู้ให้ที่สำคัญ และเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของมนุษย์ พระนาม ที่เรียกขานกันมีมากมายนอกเหนือจากพระพรหม หรือ พระพรหมธาดา เป็นต้นว่า ราชคุณ หมายถึง ความมี กิเลสและความปรารถนา และมูลเหตุของการสร้างโลกทั้งปวง สวายัมภู หมายถึง ผู้เกิดเอง กมลสาส์น และปัทมสาส์น หมายถึง ผู้นั่งบนดอกบัว ซึ่งเกิดมาจากสะดือของพระวิษณุ คัมภีร์ฤคเวท ปรากฏพระนาม ปชาบดี คัมภีร์รามายณะ ปรากฏพระนามอื่นๆ คือ ปรเมศวร วิธิ-เวธาส อทิกวี สนัต ชาตริวิชาตริ ปิตามหะ ทรุหิณ-สราษฎริ โลเกศ ลักษณะทางศิลป์ รูปเคารพของพระพรหมที่พบในปัจจุบันมีรูปเคารพ ๔ ปาง ๕ พระนาม ซึ่งมีลักษณะทางศิลป ดังนี้ ปางประชาบดี พระพรหม พระวรกายสีขาว สวมอาภรณ์หนังกวางสีดำพาดบ่า มี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือช้อน แจกัน และการทำปางประทานพร ด้านขวาของพระพรหม มีรูปเทพธิดาสรัสวดี ด้านซ้ายของพระพรหม มีรูปเทพธิดาสาวิตรียืนประทับอยู่ พาหนะคือ หงส์ ปางโลกบาล พระพรหมมี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือลูกประคำ หนังสือ ดอกบัว และแจกัน ด้านข้างมีนางสาวิตรี (๔ พักตร์) ประทับยืนด้วย ปางวิศวกรรม พระพรหมมี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือ ช้อน หนังสือ แจกัน และลูกประคำ ปางกามลักษณะ ปางปิตมหา พระพรหมมี ๔ พักตร์ พระเกศามุ่นขมวด มี ๔ กร ถือ หนังสือ แจกัน หม้อ และช้อน ในสมัยพระพุทธศาสนาได้ถือกำเนิดแล้วได้ปรากฏภาพสลักในรูปของพระพรหมกำลังเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพรหมทรงอาภรณ์ดั่งพราหมณ์ พระกรถือหม้อน้ำข้างหนึ่ง
กำเนิดพระพรหม
จากคัมภีร์และตำนานมากมายที่กล่าวถึงการกำเนิดของพระพรหม กล่าวไว้ อาทิ คัมภีร์วารหปุราณะ และมหากาพย์มหาภารตะ กล่าวไว้ว่า พระพรหมเกิดจากดอกบัวที่พุดขึ้นจากสะดือของพระวิษณุ ที่บรรทมหลับอยู่บนหลังพระยาอนันตนาคราชที่เกษียรสมุทร คัมภีร์ปัทมปุราณะ กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งพระวิษณุต้องการสร้างโลก จึงแบ่งภาคออกเป็น ๓ ภาค โดยพระพรหม เกิดจากสีข้างเบื้องขวา พระวิษณุ (พระองค์) เกิดจากสีข้างเบื้องซ้าย พระศิวะ เกิดจากบั้นกลางพระองค์คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ กล่าวไว้ว่าในครั้งเมื่อโลกยังไม่ปรากฏสิ่งใดๆ (ว่างเปล่า) พระอาตมภู (ผู้เกิดเอง) ประสงค์จะสร้างทุกสิ่งจึงสร้างน้ำขึ้นมาก่อน แล้วนำพืชโปรยลงน้ำ เวลาผ่านไปพืชนั้นกลายเป็นไข่ทองและกำเนิดพระพรหมปรากฏขึ้น นามว่า หิรัณครรภ์ หลังจากนั้นพระพรหมจึงแบ่งร่างเป็นชาย-หญิง เพื่อสร้างโลกและมนุษย์ต่อมา ช่วงนี้ขอเล่าถึงตำนานพระเศียรของเทพเจ้าผู้สร้างโลกนามพระพรหม บางส่วนของตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อแรกพระพรหมทรงมี ๕ เศียร เรื่องมีอยู่ว่าพระองค์ทรงหลงรักและหวงแหนพระมเหสี (พระมเหสีองค์มีหลายพระนาม อาทิ สรัสวดี สาวิตรี พราหมณี) เพื่อคุ้มครองพระมเหสีองค์นี้ด้วยว่าไม่ว่าจะเสด็จที่ใดก็ตาม พระองค์จะทรงใช้ตาที่เศียรทั้ง ๕ เศียรของ พระองค์เฝ้าติดตามไม่ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นก็ตามจะได้ช่วยทันทุกเวลาต่อมาเศียร ๑ ใน ๕ เศียรเกิดพูดจากดูหมิ่นพระแม่ปารพตี มเหสีของพระศิวะเมื่อพระองค์ทราบเรื่องจึงบันดาลโทสะจนเกิดการต่อสู้กันระหว่าง พระพรหมกับพระศิวะ เมื่อเวลาต่อมาพระพรหมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ถูกพระศิวะตัดเศียรไปหนึ่งเศียร จึงเป็นเหตุให้พระพรหม เหลือเพียง ๔ เศียร นับแต่นั้นเป็นต้นมา บางตำนานกล่าวไว้ว่า พระพรหมทรงถูกพระศิวะใช้ฤทธิ์เพ่งตาที่ ๓ ทำให้เกิดไฟเผาผลาญเศียรที่ ๕ ของพระพรหมจนมอด ไหม้ เพราะกล่าวคำหมิ่นพระศิวะนั่นเอง
ตำนานการเกิดของมนุษย์
ตำนานกล่าวว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ จากอวัยวะของพระองค์ ซึ่งได้เกิดเป็นวรรณะต่างๆ ดังนี้
วรรณะพราหมณ์ เกิดจากเศียรของพระองค์
วรรณะกษัตริย์ เกิดจากบ่าของพระองค์
วรรณะแพศย์ เกิดจากส่วนท้องของพระองค์วรรณะศูทร เกิดจากเท้าของพระองค์
บางตำรากล่าวถึงเริ่มแรกทรงเนรมิตมนุษย์มีขาข้างเดียว แต่ก็เห็นว่าเดินไม่สะดวก จึงสร้างมนุษย์มี ๓ ขา ดูเหมือนจะไม่พอพระทัยเพราะว่าเกะกะเกินไปไม่สวยงาม จึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้มี ๒ ขา ที่ปรากฏจนทุกวันนี้
คัมภีร์ปัทมปูราณะ
ปัทมปุราณะ กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งพระวิษณุต้องการสร้างโลก จึงแบ่งภาคออกเป็น ๓ ภาค โดยพระพรหม เกิดจากสีข้างเบื้องขวา พระวิษณุ (พระองค์) เกิดจากสีข้างเบื้องซ้าย พระศิวะ เกิดจากบั้นกลางพระองค์คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ กล่าวไว้ว่าในครั้งเมื่อโลกยังไม่ปรากฏสิ่งใดๆ (ว่างเปล่า) พระอาตมภู (ผู้เกิดเอง) ประสงค์จะสร้างทุกสิ่งจึงสร้างน้ำขึ้นมาก่อน แล้วนำพืชโปรยลงน้ำ เวลาผ่านไปพืชนั้นกลายเป็นไข่ทองและกำเนิดพระพรหมปรากฏขึ้น นามว่า หิรัณครรภ์ หลังจากนั้นพระพรหมจึงแบ่งร่างเป็นชาย-หญิง เพื่อสร้างโลกและมนุษย์ต่อมา ช่วงนี้ขอเล่าถึงตำนานพระเศียรของเทพเจ้าผู้สร้างโลกนามพระพรหม บางส่วนของตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อแรกพระพรหมทรงมี ๕ เศียร เรื่องมีอยู่ว่าพระองค์ทรงหลงรักและหวงแหนพระมเหสี (พระมเหสีองค์มีหลายพระนาม อาทิ สรัสวดี สาวิตรี พราหมณี) เพื่อคุ้มครองพระมเหสีองค์นี้ด้วยว่าไม่ว่าจะเสด็จที่ใดก็ตาม พระองค์จะทรงใช้ตาที่เศียรทั้ง ๕ เศียรของ พระองค์เฝ้าติดตามไม่ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นก็ตามจะได้ช่วยทันทุกเวลาต่อมาเศียร ๑ ใน ๕ เศียรได้ถูกพระศิวะเผา เพราะว่าเศียรที่๕นั้นได้มีอิทธิฤทธิ์ อนุภาพร้อนแรงมากจึงทำให้สวรรค์ร้อน เทวต่างอยู่ไม่ไหวด้วยแรงแห่งความร้อน จากนั้นเหล่าเทวดาได้ปรึกษาประชุมกันว่าจะทำอย่างไร จึงได้มีกลอุบายไปร้องขอความช่วยเหลือจากพระศิวะ เพราะท่านมีดวงตาที่๓เป็นดวงตาแห่งบัลลัยกัล สามารถเผาผลาญทุกอย่าง จากนั้นพระศิวะจึงได้ใช้ดวงตาที่๓เพื่อเผาเศียรพระพรหม ต่อจากนั้นทุกอย่างก็ดีขึ้น
พระนางคายตรี ที่มี 5 พระพักตร์นั่นคือองค์อวตารของพระนางสรัสวตี เพราะว่า การที่พระนางมี 5 พระพักตร์นั้นก็เพื่ออวตารเป็นคู่บุญคู่บารมีองค์ของพระพรหมผู้เป็นสวามี เพราะสมัยก่อนจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นพระพรหมมี 5 พระพักตร์ แต่ด้วยพระพักตร์ที่ 5 นี้เอง ที่มีความพิเศษคือจะเป็นพระพักตร์ที่จดจำคัมภีร์พระเวททั้ง 4 ไว้หมด จึงมีรัศมีเรืองรอง เหล่าเทพไม่สามารถทนต่อความร้อนแรงของรัศมีได้ จึงทูลพระศิวะให้ทรงช่วยเหลือ พระศิวะจึงตัดเอาเศียรของพระพรหมพระพักตร์ที่ 5ออก(บางตำราว่าถูกไฟจากตาที่สามทำลาย)
27 พฤษภาคม 2552
มนตราบูชาพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี

- โอม ชยะ มาตา กี
- โอม ไชย มาตา กี
- โอม ชยะ ศรี ปารวตี มาตา
- โอม มหาอุมาเทวี นมัส
- โอม มหาศักติ ปารวตี มาตา
- โอม ศรี มหาอุมาเทวี นะมะฮา
- โอม ตัสสะ ปารวตี กาลี ทุรคา เจ นะมะฮา
_โอม ชยะ ศรี สรัสวตี มาตา
- โอม ศรี สรัสวตี นะมะห์
- โอม ศรี สรัสวตี ยะนะมะฮา
- โอม ศรี มหาสรัสวตี เจ นะมะฮา
- โอม สรัสวตี นามะ สตุภะยัม
วารเด กามรูปานี
วิทยา อาราม ภาม
การิชยามิ สิทธิ ภาวะตุ เม ซาดา
- โองการพินทุ นาถัง อุปปันนัง
สรัสวดี มะเตโต มหาเทโว ราชคาถา
- โอม ไจยตี ไจยปารตี สรัสวตี ไจยเดวี
ไจยตี อามิตาวรตายินี สุรนารามุนี
จันเสวีไจย สตาวาดินี ชยามพาวี
วีณาวาดินี อัมพา ปัทมาปะรีเย
ปรเมศวารี อิกาตุมาฮาราฮีนา อวลัมปา
- โอม สุรัสวดี อิตถีเมตตัญจะ เทวะปัญจะเร ภะวันตุเม
ทุติยัมปิ สุรัสวดี อิตถีเมตตัญจะ เทวะปัญจะเร ภะวันตุเม
ตะติยัมปิ สุรัสวดี อิตถีเมตตัญจะ เทวะปัญจะเร ภะวันตุเม
- โอม ตัสสะ ปารวตี กาลี ทุรคา ปิยัง มะมะ
ทุติยัมปิ ตัสสะ ปารวตี กาลี ทุรคา ปิยัง มะมะ
ตะติยัมปิ ตัสสะ ปารวตี กาลี ทุรคา ปิยัง มะมะ
(คาถาบูชาทั้งพระแม่อุมา พระแม่กาลี พระแม่ทุรคา)
__โอม ชยะ ศรี สรัสวตี มาตา
- โอม ศรี สรัสวตี นะมะห์
- โอม ศรี สรัสวตี ยะนะมะฮา
- โอม ศรี มหาสรัสวตี เจ นะมะฮา
- โอม สรัสวตี นามะ สตุภะยัม
วารเด กามรูปานี
วิทยา อาราม ภาม
การิชยามิ สิทธิ ภาวะตุ เม ซาดา
- โองการพินทุ นาถัง อุปปันนัง
สรัสวดี มะเตโต มหาเทโว ราชคาถา
- โอม ไจยตี ไจยปารตี สรัสวตี ไจยเดวี
ไจยตี อามิตาวรตายินี สุรนารามุนี
จันเสวีไจย สตาวาดินี ชยามพาวี
วีณาวาดินี อัมพา ปัทมาปะรีเย
ปรเมศวารี อิกาตุมาฮาราฮีนา อวลัมปา
ตำนการกำเนิดแห่งองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี
พระอุมาเทวี (เทวนาครี: सती) หรือพระศรีมหาอุมา หรือ ปารวตี เป็นธิดาของท้าวหิมวัตและพระนางเมนกา พระอุมาเป็นชายาขององค์พระศิวะบรมเทพแห่งสวรรค์ มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ พระบรมเทพขันทกุมาร ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการสงคราม และ พระบรมเทพศรีมหาคเนศ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการขจัดอุปสรรคทั้งมวล พระอุมานั้นทรงมีหลายปางด้วยกันแต่ปางที่เป็นที่รู้จักมากคือ
ปางมหากาลี
(พะนางกรีกกาลราตรี) โดยมีลักษณะดังนี้ มี 10 พระกร ถืออาวุธครบมือ แลบลิ้นยาวถึงทรวงอก เครื่องประดับเป็นหัวกระโหลก สังวาลเป็นงูมีลักษณะดุร้าย
พระศรีมหาทุรคาเทวีโดยมีลักษณะดังนี้ มี 8 ถึง 12 พระกร ประทับบนหลังเสือ หรือสิงโต ลักษณะดุทรงเสื้อชุดสีแดง เทศกาลที่มีการบูชาพะอุมาคือเทศกาลนวราตรีคุเซราห์
บางตำนานกล่าวว่า พระอุมา เดิมกำเนิดในร่างมนุษย์ นามว่า สตี เป็นธิดาของพระทักษะประชาบดี มีพระขนิษฐาพระนามว่าพระคงคา ได้เป็นชายาของพระศิวะ ที่ทรงอวตารลงมาในภาคของมุนีภพ ไว้ผมหนวดเครารุงรัง นำกระดูกมาร้อยเป็นสังวาลสวมคอ นอนตาป่าช้า มีกลิ่นตัวเหม็นสาบ เป็นที่รังเกียจของพระทักษะ แต่ด้วยบารมีของพระนางสตี จึงมองเห็นรูปกายที่แท้จริงว่าพระมุนีองค์นี้ ว่าเป็นภาคหนึ่งขององค์พระศิวะ
ด้วยความรังเกียจ พระทักษะประชาบดี จึงได้ลบหลู่เกียรติของพระศิวะในงานพิธี พระนางสตีจึงทรงเข้าตบะเพื่อขับเพลิงออกมาจากร่าง เพื่อสังหารพระองค์เอง (บางตำรากล่าวว่า พระนางกระโดดเข้ากองไฟ) ด้วยความพิโรธ พระศิวะทรงส่งอสูรชื่อ วีรภัทร ไปทำลายงานพิธี และตัดศีรษะพระทักษะประชาบดี ต่อคืนด้วยหัวแพะที่ใช้บูชายัญในพิธีนั้น พระศิวะทรงเศร้าโศกเสียใจด้วยความรักที่มีต่อพระนางสตี จึงทรงทรงพาร่างของพระนางสตีออกไปจนสุดจักรวาล และบำเพ็ญพรตบารมีอยู่เป็นเวลานาน ต่อมาพระนางได้กลับมาเกิดเป็นธิดาของท้าวหิมวัตและพระนางเมนกา และเป็นชายาของพระศิวะอีกครั้ง ในร่างของพระอุมาเมวี (ปารวตี)
พิธีสตี
ชาวอินเดียที่นับถือพระศิวะ และพระอุมา มีพิธีกรรมที่เรียกว่า สตี เมื่อสามีเสียชีวิต ภรรยาจะฆ่าตัวตายตามโดยกระโดดเข้ากองไฟ เพื่อบูชาความรักและการเสียสละของพระนางสตี ที่มีต่อพระศิวะ ในบางครั้งภรรยาของผู้ตายไม่ยินยอมเข้าพิธีสตี ก็ยังถูกญาติพี่น้องของสามี บังคับให้เผาตัวตายตาม พิธีบูชายัญนี้ถูกระงับไปเมื่ออินเดียตกอยู่ในการปกครองของอังกฤษ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18
ปางมหากาลี
(พะนางกรีกกาลราตรี) โดยมีลักษณะดังนี้ มี 10 พระกร ถืออาวุธครบมือ แลบลิ้นยาวถึงทรวงอก เครื่องประดับเป็นหัวกระโหลก สังวาลเป็นงูมีลักษณะดุร้าย
พระศรีมหาทุรคาเทวีโดยมีลักษณะดังนี้ มี 8 ถึง 12 พระกร ประทับบนหลังเสือ หรือสิงโต ลักษณะดุทรงเสื้อชุดสีแดง เทศกาลที่มีการบูชาพะอุมาคือเทศกาลนวราตรีคุเซราห์
บางตำนานกล่าวว่า พระอุมา เดิมกำเนิดในร่างมนุษย์ นามว่า สตี เป็นธิดาของพระทักษะประชาบดี มีพระขนิษฐาพระนามว่าพระคงคา ได้เป็นชายาของพระศิวะ ที่ทรงอวตารลงมาในภาคของมุนีภพ ไว้ผมหนวดเครารุงรัง นำกระดูกมาร้อยเป็นสังวาลสวมคอ นอนตาป่าช้า มีกลิ่นตัวเหม็นสาบ เป็นที่รังเกียจของพระทักษะ แต่ด้วยบารมีของพระนางสตี จึงมองเห็นรูปกายที่แท้จริงว่าพระมุนีองค์นี้ ว่าเป็นภาคหนึ่งขององค์พระศิวะ
ด้วยความรังเกียจ พระทักษะประชาบดี จึงได้ลบหลู่เกียรติของพระศิวะในงานพิธี พระนางสตีจึงทรงเข้าตบะเพื่อขับเพลิงออกมาจากร่าง เพื่อสังหารพระองค์เอง (บางตำรากล่าวว่า พระนางกระโดดเข้ากองไฟ) ด้วยความพิโรธ พระศิวะทรงส่งอสูรชื่อ วีรภัทร ไปทำลายงานพิธี และตัดศีรษะพระทักษะประชาบดี ต่อคืนด้วยหัวแพะที่ใช้บูชายัญในพิธีนั้น พระศิวะทรงเศร้าโศกเสียใจด้วยความรักที่มีต่อพระนางสตี จึงทรงทรงพาร่างของพระนางสตีออกไปจนสุดจักรวาล และบำเพ็ญพรตบารมีอยู่เป็นเวลานาน ต่อมาพระนางได้กลับมาเกิดเป็นธิดาของท้าวหิมวัตและพระนางเมนกา และเป็นชายาของพระศิวะอีกครั้ง ในร่างของพระอุมาเมวี (ปารวตี)
พิธีสตี
ชาวอินเดียที่นับถือพระศิวะ และพระอุมา มีพิธีกรรมที่เรียกว่า สตี เมื่อสามีเสียชีวิต ภรรยาจะฆ่าตัวตายตามโดยกระโดดเข้ากองไฟ เพื่อบูชาความรักและการเสียสละของพระนางสตี ที่มีต่อพระศิวะ ในบางครั้งภรรยาของผู้ตายไม่ยินยอมเข้าพิธีสตี ก็ยังถูกญาติพี่น้องของสามี บังคับให้เผาตัวตายตาม พิธีบูชายัญนี้ถูกระงับไปเมื่ออินเดียตกอยู่ในการปกครองของอังกฤษ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18




ตำนานการกำเนิดแห่งองค์พระแม่สุรัสวตีเทวี


%5B1%5D.jpg)
26 พฤษภาคม 2552
มนตราบูชาพระแม่สุรัสวตีเทวี

- โอม ชยะ ศรี สรัสวตี มาตา
- โอม ศรี สรัสวตี นะมะห์
- โอม ศรี สรัสวตี ยะนะมะฮา
- โอม ศรี มหาสรัสวตี เจ นะมะฮา
- โอม สรัสวตี นามะ สตุภะยัมวารเด กามรูปานีวิทยา อาราม ภามการิชยามิ สิทธิ ภาวะตุ เม ซาดาคำแปล : โอม พระแม่สรัสวดีเทวีผู้สูงศักดิ์ข้าพเจ้าขอศิโรราบแด่พระองค์ และจะถ่อมตนอยู่เสมอพระองค์คือผู้ประทานทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาข้าพเจ้าจะร่ำเรียน ค้นคว้าสรรพความรู้จากท่านและขอพระองค์ประทานพรให้เกิดความสำเร็จแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
- โองการพินทุ นาถัง อุปปันนังสรัสวดี มะเตโต มหาเทโว ราชคาถา
- โอม ไจยตี ไจยปารตี สรัสวตี ไจยเดวีไจยตี อามิตาวรตายินี สุรนารามุนีจันเสวีไจย สตาวาดินี ชยามพาวีวีณาวาดินี อัมพา ปัทมาปะรีเยปรเมศวารี อิกาตุมาฮาราฮีนา อวลัมปา
- โอม สุรัสวดี อิตถีเมตตัญจะ เทวะปัญจะเร ภะวันตุเมทุติยัมปิ สุรัสวดี อิตถีเมตตัญจะ เทวะปัญจะเร ภะวันตุเมตะติยัมปิ สุรัสวดี อิตถีเมตตัญจะ เทวะปัญจะเร ภะวันตุเม
ป้ายกำกับ:
พระแม่สุรัสวตี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)